วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ระบำพรหมาสตร์



 
ระบำพรหมาสตร์


         เป็นระบำของเหล่าเทวดา - นางฟ้าอีกชุดหนึ่งสำหรับแสดงประกอบการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกพรหมาสตร์ เนื่อเรื่องกล่าวถึงอินทรชิตโอรสของทศกัณฐ์ กำลังทำสงครามติดพันอยู๋กับพระลักษมณ์ จึงใช้กลยุทธลวงพระลักษมณ์และกองทัพวานร โดยอินทรชิตได้แปลงกายเป็นพระอินทร์ เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และให้การุณราชแปลงตัวเป็นช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นพาหนะทรงของตน อีกทั้งให้บรรดาพลยักษ์นักรบในกองทัพแปลงกายเป็นเทพบุตร และนางฟ้า พากันเหาะฟ้อนรำ นำขบวนไปหน้าช้าง เพื่อลวงพระลักษมณ์ และกองทัพวานร ว่าขบวนเสด็จของพระอินทร์กำลังเสด็จผ่านมาในกลางอากาศ อินทรชิตหวังสบโอกาสเหมาะ จะลอบใช้สรพรหมาสตร์แผลงสังหารณ์พระลักษมณ์ และพลวานร ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกในววงการนาฏศิลป์ไทยอีกชื่อหนึ่งว่า "ระบำหน้าช้าง" น่าจะเป็นเพราะเรียกตามลักษณะระบำ ที่รำอยู่หน้าช้าง
       เอราวัณของพระอินทร์แปลง กรมศิลปากรได้จัดโขนออกแสดงเป็นประจำทุกปี ซึ่งแต่ละชุดจะมีชั้นเชิงและลีลาลท่าทีของศิลปะที่แตกต่างกันไปตามเจตน์จำนงของการจัด โดยมุ่งหมายให้เป็นการฝึกศิลปิน และนักเรียนของกรมศิลปากร เกิดความรู้ความชำนาญในการแสดงแต่ละชุดแต่ละตอน ซึ่งบางชุดก็เป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ บางตอนก็สืบทอดกันมาโบราณ อีกทั้งยังต้องการเสนอให้ผู้ชมเห็นความหลากหลายของการแสดงโขนด้วย ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ กรมศิลปากรได้จัดการแสดงโขนชุดนี้ที่โรงโขนหลวง มิกสักวัน สนามเสือป่า ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๓ กรมศิลปากรจึงได้จัดการแสดงโขนชุดศึกพรหมาสตร์ขึ้นอีกวาระหนึ่ง แต่ก็ยังคงรักษารูปแบบการแสดงศิลปะของเดิมไว้ด้วย ดังเช่นในองค์ที่ ๔ ศรพรหมาสตร์ ปรับปรุงโดย นายประพันธ์ สุคนธชาติท่านได้นำบทคอนเสิร์ตของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์มาใ้ช้ทั้งหมด โดยแต่งคำเจรจาแทรกในตอนท้ายของระบำพรหมาสตร์ 
        โขนชุดนี้ได้ปรับปรุงการแสดง พิมพ์บท และฝึกซ้อม พร้อมทั้งจัดฉาก แล้วเตรียมแสดงเป็นประจำ ณ โรงละคอนศิลปากร แต่ต้องระงับไปชั่วคราว ด้วยเกิดเหตุไฟไหม้โรงละคอนศิลปากรในวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ การแสดงโขนชุดนี้จึงต้องย้ายไปจัดแสดง ณ หอประชุมวัฒนธรรม สนามเสือป่า (ปัจจุบันคือ ตึกกองบัญชาการ กรป.กลาง) แล้วภายหลังต่อมาโขนชุดนี้ก็ได้นำมาจัดแสดง ณ โรงละครแห่งชาติ และที่อื่น ๆ อีกหลายครั้ง ท่ารำของระบำพรหมาสตร์ชุดนี้ได้รับการถ่ายทอด แล้วสืบทอดมาโดยครูอาจารย์นวิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร

รูปแบบ และลักษณะการแสดง
                  ระบำพรหมาสตร์ เป็นการแสดงกลลวงของฝ่ายยักษ์ (อินทรชิต) ที่จะทำลายกองทัพฝ่ายมนุษย์ (พระลักษมณ์) ลักษณะของระบำ จึงเป็นการร่ายรำอย่างวิจิตร สวยงาม เพื่อให้พระลักษมณ์ และพลวานรเคลิบเคลิ้มหลงใหล จนลืมหลง ไม่ทันระวังตัว สามารถทำให้อินทรชิตแผลงศรไปสังหารพระลักษมณ์ และไพร่พลได้ ระบำชุดนี้เป็นระบำหมู่พระ - นาง เริ่มด้วยการรำนำในขบวนทัพ และรำตามเนื้อร้องในเพลงสร้อยสน ซึ่งเนื้อเพลงมี ๔ คำกลอน กล่าวถึงเหล่าเทวดา - นางฟ้า มาจับรำระบำบรรพ์ อย่างรื่นเริงบันเทิงใจ การแสดงระบำชุดนี้ใช้ประกอบการแสดงโขนโดยเฉพาะ แต่ด้วยความเป็นมาตรฐานในท่ารำ และเพลงร้องระบำพรหมาสตร์จึงได้เป็นท่ารำชุดหนึ่งในหลักสูตรการศึกษานาฏศิลป์ไทย

     






ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง
           ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง เพลงช้าสร้อยสน เพลงเร็ว (ชื่อเพลงต้นบรเทศ และเพลงแขกเบรเทศ) และเพลงลา
เครื่องแต่งกาย

            ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง พระสวมเสื้อแขนสั้น ศิราภรณ์ชฎายอดชัย นางศิราภารณ์มงกุฏกษัตรีย์



                                                                                           บทร้องระบำพรหมาสตร์ 
                                                                                         - ปี่พาทย์ทำเพลงสร้อยสน -
                                                                                             - ร้องเพลงสร้อยสน -



ต่างจับระบำรำฟ้อน
ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา
ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง
วงเวียนเหียนหันกั้นกาง
ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา
เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นท่าทาง
เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง
เป็นคู่คู่อยู่กลางอัมพร

โอกาสที่ใช้แสดง
             ใช้ประกอบการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ขุนศึกพรหมาสตร์ หรือสำหรับการแสดงสาธิตระบำใบโขน





วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ระบำโคมประทีปสุโขทัย

ประวัติ ระบำโคมประทีป
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=rouenrarai&month=07-2010&date=20&group=13&gblog=2




         นายชัยวัฒน์  ทองศักดิ์  ได้กล่าวถึงหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ จารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตอนที่กล่าวถึงประเพณีการทอดกฐินเนื่องในเทศกาลออกพรรษาว่า  “......เมื่อออกพรรษา กรานกฐินเดือนหนึ่งจึ่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ยพนมหมากมีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนนอน บริพารกฐินโอยทานแล่ปีแล้ญิบล้านไปสวดกฐินถึงอรัญญิกพู้น  เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้าหัวลาน ดํบงดํกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพิน เสียงเลื่อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง  เทียนย่อมคนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดังจักแตก”

      เมื่อหมดเทศกาลกฐินแล้วในกลางเดือนของเดือนสิบสองจะมีประเพณีลอยกระทงในสมัยสุโขทัยเรียกว่า “พิธีจองเปรียง – ลอยประทีป” 

      สำหรับการทำโคมชัก โคมแขวน ในปัจจุบัน ท่านอาจารย์ทองเจือสืบชมภู ได้กล่าวไว้ว่า โคมแต่ละโคม ต้องใช้ระยะเวลาทำประมาณ  ๒-๓ เดือน จึงจะสำเร็จโดยการนำเอาเมล็ดพันธุ์พืชเม็ดเล็ก ๆ ได้แก่ เม็ดมะกล่ำตาหนู, ข้าวฟ่างสีส้ม ขาว ดำ เหลือง, ข้าวเปลือกนก, งาขาว ดำ แดง เทา ถั่วเขียว, เข็มหมุด, เมล็ดผักกาด, เมล็ดข้าวเหนียว, เมล็ดผักชี, เปลือกไข่, เปลือกไหม, ใบลาน, ดอกตะแบก, ดอกบานไม่รู้โรย, ทราย,เชือกผักตบชวา, ไหมญี่ปุ่น, ดวงไฟ, กระดาษแข็ง, ไม้ไผ่, ไม้อัด, กระดาษสา, เชือก, เส้นด้าย และอื่น ๆ มาร้อยเรียง แต่งแต้มให้เป็นโคมชักโคมแขวน  แต่ละเสี้ยวของโคมต้องใช้ ความประณีต ความอดทน และความพยายามอย่างมากเพื่อให้สมกับความวิจิตร


     
          วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย เป็นสถานศึกษาที่อนุรักษ์ และสืบทอดศิลปะสาขาดนตรี นาฏศิลป์  จึงได้สร้างสรรค์ชุดการแสดงที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ได้แก่ ระบำโคมประทีปสุโขทัย ซึ่งเป็นการแสดงที่สร้างสรรค์เพลงและท่ารำมาจากความงดงามของโคมชักโคมแขวนในเทศกาลเผาเทียนเล่นไฟของจังหวัดสุโขทัยซึ่งเป็นการสืบทอดประเพณีที่มีมาแต่โบราณในรูปของการแสดงนาฏศิลป์ดนตรีและเป็นการปลูกจิตสำนึกให้นักเรียน มีส่วนในการอนุรักษ์ศิลปะให้เยาวชนรุ่น หลังได้รู้จักและร่วมกันอนุรักษ์สืบต่อไป